พระนครศรีอยุธยา
๔๑๗ ปีแห่งการเป็นราชธานีเก่าแก่ของสยามประเทศ ประกอบด้วย ๕ ราชวงศ์คือ ราชวงศ์อู่ทอง ราชวงศ์สุพรรณภูมิ ราชวงศ์สุโขทัย ราชวงศ์ปราสาททองและราชวงศ์บ้านพลูหลวง มีกษัตริย์ปกครองทั้งสิ้น ๓๓ พระองค์ โดยมีปฐมกษัตริย์คือ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) พระนครศรีอยุธยาจึงนับเป็นราชธานีที่มีอายุยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของ ชาติไทย ตลอดระยะเวลา ๔๑๗ ปีที่กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีแห่งราชอาณาจักรไทย มิได้เป็นเพียงช่วงแห่งความเจริญสูงสุดของชนชาติไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างสรรค์อารยธรรมของหมู่มวลมนุษยชาติซึ่งเป็นที่ประจักษ์แก่ นานาอารยประเทศอีกด้วย แม้ว่ากรุงศรีอยุธยาจะถูกทำลายเสียหายจากสงครามกับประเทศเพื่อนบ้านหรือจาก การบุกรุกขุดค้นของพวกเรากันเอง แต่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบันนี้ยังมีร่องรอยหลักฐานซึ่งแสดงอัจฉริยภาพ และความสามารถอันยิ่งใหญ่ของบรรพบุรุษแห่งราชอาณาจักรผู้อุทิศตนสร้างสรรค์ ความเจริญรุ่งเรืองทางศิลปวัฒนธรรม และความมั่งคั่งไว้ให้แก่ผืนแผ่นดินไทย หรือแม้แต่ชาวโลกทั้งมวล จึงเป็นที่น่ายินดีว่าองค์การ ยูเนสโก้ โดยคณะกรรมการมรดกโลกได้มีมติรับนครประวัติศาสตร์ พระนครศรีอยุธยา ซึ่งมีอาณาเขตครอบคลุมอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา และเป็นพื้นที่ที่ได้รับการจัดตั้งเป็นอุทยานประวัติศาสตร์มาตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๕๑๙ ไว้ในบัญชีมรดกโลก เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๓๔ ณ กรุงคาร์เทจ ประเทศตูนีเซีย พร้อมกับอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย-อุทยาน ประวัติศาสตร์กำแพงเพชรโดยจะมีผลให้ได้รับความคุ้มครองตามอนุสัญญาที่ประเทศ ต่างๆได้ทำร่วมกัน จึงสมควรที่อนุชนรุ่นหลังจะได้ไปศึกษาเยี่ยมชมเมืองหลวงเก่าของเราแห่งนี้
สถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาส่วนใหญ่เป็นโบราณสถาน ได้แก่ วัด และพระราชวังต่างๆ พระราชวังในจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีอยู่ ๓ แห่ง คือ พระราชวังหลวง วังจันทรเกษมหรือวังหน้า และวังหลัง นอกจากนี้ยังมีวังและตำหนักนอกอำเภอพระนครศรีอยุธยาซึ่งเป็นที่สำหรับเสด็จ ประพาส ได้แก่ พระราชวังบางปะอิน ในเขตอำเภอบางปะอิน และตำหนักนครหลวง ในเขตอำเภอนครหลวง
ภูมิประเทศของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นที่ราบ ลุ่ม มีแม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่าน ๓ สาย คือ แม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่านทางด้านทิศตะวันตกและทิศใต้ แม่น้ำป่าสักไหลผ่านทางทิศตะวันออก และแม่น้ำลพบุรี(ปัจจุบันเป็นคลองเมือง)ไหลผ่านทางด้านทิศเหนือ แม่น้ำสามสายนี้ไหลมาบรรจบกันโอบล้อมรอบพื้นที่ของตัวเมืองพระนครศรีอยุธยา ตัวเมืองจึงมีลักษณะเป็นเกาะ เราจะเห็นบ้านเรือนปลูกเรียงรายหนาแน่นตามสองข้างฝั่งแม่น้ำแสดงถึงวิถี ชีวิตของผู้คนที่ผูกพันอยู่กับสายน้ำมายาวนาน
จังหวัดพระนครศรี อยุธยาอยู่ห่างจากกรุงเทพฯประมาณ ๗๖ กิโลเมตร มีเนื้อที่ทั้งสิ้นประมาณ ๒,๕๕๖ ตารางกิโลเมตร แบ่งเขตการปกครองออกเป็น ๑๖ อำเภอ ได้แก่ อำเภอพระนครศรีอยุธยา อำเภอนครหลวง อำเภอภาชี อำเภอบ้านแพรก อำเภอบางซ้าย อำเภอบางไทร อำเภอลาดบัวหลวง อำเภอบางบาล อำเภอมหาราช อำเภอบางปะหัน อำเภอเสนา อำเภออุทัย อำเภอบางปะอิน อำเภอผักไห่ อำเภอท่าเรือ และอำเภอวังน้อย
อาณาเขต
ทิศเหนือ ติดต่อกับจังหวัดลพบุรี อ่างทอง และสระบุรี
ทิศใต้ ติดต่อกับจังหวัดปทุมธานี และนนทบุรี
ทิศตะวันออก ติดต่อกับจังหวัดสระบุรี
ทิศตะวันตก ติดต่อกับจังหวัดสุพรรณบุรี
สิ่งที่น่าสนใจในอยุธยา
กิจกรรม
| กิจกรรมขี่จักรยาน | กิจกรรมที่น่าสนใจ | กิจกรรมนั่งช้าง | กิจกรรมนั่งรถม้า | กิจกรรมนั่งสามล้อชมโบราณสถาน |
งานเทศกาล
| งานตรุษจีนกรุงเก่า อยุธยามหามงคล | งานประจำปีศูนย์ศิลปาชีพบางไทร | งานประเพณีสงกรานต์กรุงเก่า | งานประเพณีแห่เทียนพรรษากรุงเก่า | งานยอยศยิ่งฟ้า อยุธยามรดกโลกและงานกาชาด | งานลอยกระทงตามประทีปและแข่งเรือยาวประเพณีศูนย์ศิลปาชีพบางไทร | พิธีไหว้ครูบูชาเตา | อยุธยามหามงคล |
ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น
| งอบใบลาน | ปลาตะเพียนสาน เครื่องแขวน | พัดสานไม่ไผ่ | โรตีสายไหม |
ระยะทางจากอำเภอเมืองพระนครศรีอยุธยาไปยังอำเภอต่างๆ ๆ บางบาล ๑๐ กิโลเมตร บางปะหัน ๑๓ กิโลเมตร อุทัย ๑๕ กิโลเมตร บางปะอิน ๑๗ กิโลเมตร นครหลวง ๒๐ กิโลเมตร วังน้อย ๒๐ กิโลเมตร เสนา ๒๐ กิโลเมตร มหาราช ๒๕ กิโลเมตร ผักไห่ ๒๙ กิโลเมตร บางซ้าย ๓๔ กิโลเมตร ภาชี ๒๕ กิโลเมตร บางไทร ๔๕ กิโลเมตร บ้านแพรก ๕๓ กิโลเมตร ท่าเรือ ๖๐ กิโลเมตร ลาดบัวหลวง ๖๕ กิโลเมตร ระยะทางจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยาไปยังจังหวัดใกล้เคียง อ่างทอง ๓๑ กิโลเมตร สุพรรณบุรี ๕๓ กิโลเมตร สระบุรี ๖๓ กิโลเมตร สิงห์บุรี ๗๑ กิโลเมตร |
การเดินทางรถยนต์จากกรุงเทพฯ สามารถเดินทางไปจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้หลายเส้นทางดังนี้ ๑. ใช้ทางหลวงหมายเลข ๑ (ถนนพหลโยธิน) ผ่านประตูน้ำพระอินทร์ แล้วแยกเข้าทางหลวงหมายเลข ๓๒ เลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงหมายเลข ๓๐๙ เข้าสู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๒. ใช้ทางหลวงหมายเลข ๓๐๔ (ถนนแจ้งวัฒนะ) หรือทางหลวงหมายเลข ๓๐๒ (ถนนงามวงศ์วาน) เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข ๓๐๖ (ถนนติวานนท์) แล้วข้ามสะพานนนทบุรีหรือสะพานนวลฉวี ไปยังจังหวัดปทุมธานีต่อด้วยเส้นทาง ปทุมธานี-สามโคก-เสนา (ทางหลวงหมายเลข ๓๑๑๑) เลี้ยวแยกขวาที่อำเภอเสนา เข้าสู่ทางหลวงหมายเลข ๓๒๖๓ เข้าสู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๓. ใช้เส้นทางกรุงเทพฯ-นนทบุรี-ปทุมธานี ทางหลวงหมายเลข ๓๐๖ ถึงทางแยกสะพานปทุมธานี เลี้ยวเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข ๓๔๗ แล้วไปแยกเข้าทางหลวงหมายเลข ๓๓๐๙ ผ่านศูนย์ศิลปาชีพบางไทร อำเภอบางปะอิน เข้าสู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๔. ใช้เส้นทางด่วนหมายเลข ๙ (ทางด่วนศรีรัช) ผ่านนนทบุรี-ปทุมธานี ลงทางด่วนเข้าทางหลวงหมายเลข ๑ ผ่านศูนย์ศิลปาชีพบางไทร เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข ๓๔๖๙ ตามป้ายไปบางปะหัน ถึงสี่แยกไฟแดง (แยกวรเชษฐ) เลี้ยวขวาเข้าจังหวัดพระนครศรีอยุธยา รถโดยสารประจำทาง บริษัท ขนส่ง จำกัด มีบริการรถโดยสารปรับอากาศชั้น ๑ และชั้น ๒ ไปจังหวัดพระนครศรีอยุธยาทุกวัน ตั้งแต่เวลา ๐๔.๓๐-๑๙.๓๐ น. รถออกทุก ๆ ๑๕ นาที วันละหลายเที่ยว ออกจากสถานีขนส่งหมอชิต ถนนกำแพงเพชร ๒ ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. ๐ ๒๙๓๖ ๒๘๕๒-๖๖ สถานีขนส่งอยุธยา โทร.๐ ๓๕๓๓ ๕๓๐๔ หรือ HYPERLINK http://www.transport.co.th www.transport.co.th รถไฟ การเดินทางไปจังหวัดพระนครศรีอยุธยาสามารถใช้บริการรถไฟโดยสารที่มีปลายทาง สู่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งมีบริการทุกวัน ขบวนรถไฟจะผ่านจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในเขตอำเภอบางปะอิน อำเภอพระนครศรีอยุธยาและอำเภอภาชี แล้วรถไฟจะแยกไปภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่สถานีชุมทางบ้านภาชี นอกจากนี้การรถไฟฯยังจัดขบวนรถจักรไอน้ำเดินทางระหว่างกรุงเทพฯ-พระนครศรี อยุธยาในโอกาสพิเศษ ปีละ ๓ ขบวน คือ วันที่ ๒๖ มีนาคม (วันสถาปนาการรถไฟฯและเป็นวันที่ระลึกถึงการเปิดทางรถไฟสายแรกวิ่งระหว่าง กรุงเทพฯ-นครราชสีมา ในปี พ.ศ. ๒๔๓๓) วันที่ ๒๓ ตุลาคม (วันปิยมหาราช เพื่อรำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงให้กำเนิดกิจการรถไฟไทย) และวันที่ ๕ ธันวาคม (วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช) ติดต่อสอบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่การรถไฟแห่งประเทศไทยโทร. ๐ ๒๒๒๓ ๗๐๑๐, ๐ ๒๒๒๓ ๗๐๒๐, ๐ ๒๒๐ ๔๓๓๔, ๐ ๒๒๒๐ ๔๔๔๔, ๑๖๙๐ สถานีรถไฟอยุธยา โทร. ๐ ๓๕๒๔ ๑๕๒๑ หรือ HYPERLINK http://www.railway.co.th www.railway.co.th เรือ การเดินทางไปจังหวัดพระนครศรีอยุธยาโดยทางน้ำเป็นที่นิยมของชาวต่างประเทศ เพราะนอกจากจะได้ชมทัศนียภาพและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนริมสองฝั่งแม่ น้ำเจ้าพระยาแล้ว ยังเป็นการย้อนให้เห็นถึงประวัติศาสตร์สมัยที่กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีและ มีการติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติทางเรือบนสายน้ำเจ้าพระยาแห่งนี้ บริการเรือนำเที่ยวไปจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีดังนี้ เรือม โนราห์ ๒ ออกจากท่าโรงแรมแมริออท รีสอร์ทแอนด์สปา ใช้เวลา ๓ วัน ๒ คืน แวะเที่ยวชมตั้งแต่กรุงเทพฯ วัดอรุณฯ พิพิธภัณฑ์เรือ ผ่านเกาะเกร็ด นนทบุรี วัดปทุมคงคา แวะวัดต่างๆ ในพระนครศรีอยุธยา บางปะอิน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร. ๐ ๒๔๗๖ ๐๐๒๑-๒ เรือมิตรเจ้าพระยา เรือออกจากท่าช้างเวลา ๐๘.๐๐ น. ทุกวันอาทิตย์ แวะศูนย์ศิลปาชีพบางไทร บางปะอิน ขากลับแวะวัดเฉลิมพระเกียรติ และกลับถึงกรุงเทพฯเวลา ๑๘.๐๐ น. อัตราค่าโดยสารผู้ใหญ่ ๔๓๐ บาท เด็ก ๓๕๐ บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร ๐ ๒๖๒๓ ๖๑๖๙, ๐ ๒๒๒๑ ๒๒๙๗, ๐ ๒๒๒๕ ๖๑๗๙, ๐ ๒๒๒๕ ๖๑๗๙ เรือเมฆขลา มีบริการนำเที่ยวสู่พระราชวังบางปะอินและจังหวัดพระนครศรีอยุธยา แบบ ๒ วัน ๑ คืน พร้อมอาหารและเครื่องดื่ม โดยเรือจะออกจากท่าโรงแรมแม่น้ำ เวลา ๑๔.๓๐ น. และเดินทางกลับโดยรถยนต์ (หรือจะเลือกเดินทางไปโดยรถยนต์ออกเวลา ๐๗.๐๐ น.และเดินทางกลับโดยทางเรือ) อัตราค่าโดยสาร ๔,๕๐๐-๗,๖๐๐ บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. ๐ ๒๒๕๖ ๖๖๖๖ เรือริเวอร์ซัน ครุ้ยส์ บริการเรือนำเที่ยวไปเช้า-เย็นกลับ พร้อมอาหาร สู่พระราชวังบางปะอินและนำเที่ยวในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเช่น วัดมหาธาตุ วัดโลกยสุธา รถออกจากศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้เวลา ๐๘.๐๐ น.และเดินทางกลับโดยทางเรือเวลา ๑๖.๓๐ น. อัตราค่าโดยสารคนละ ๑,๘๐๐ บาททั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. ๐ ๒๒๖๖ ๙๑๒๕-๖, ๐ ๒๒๖๖ ๙๓๑๖ เรือฮอไรซันครุ้ยส์ มีบริการเรือนำเที่ยวทุกวัน สู่พระราชวังบางปะอิน นำเที่ยวพระนครศรีอยุธยา เช่น วัดใหญ่ชัยมงคล วัดมหาธาตุ วัดพระศรีสรรเพชญ์ พร้อมอาหาร รถออกจากลานจอดรถใกล้โรงแรมแชงกรีล่าเวลา ๐๘.๐๐ น. เดินทางกลับโดยทางเรือ อัตราค่าโดยสารคนละ ๑,๖๐๐ บาททั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. ๐ ๒๒๓๖ ๗๗๗๗ ต่อ ๖๒๐๔-๕, ๐ ๒๒๓๖ ๙๙๕๒ เวิลด์ทราเวิล เซอร์วิส จัดรายการนำเที่ยวสู่พระราชวังบางปะอินและจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นประจำ ทุกวัน พร้อมอาหารบุฟเฟต์ รถออกจากท่าริเวอร์ซิตี้เวลาประมาณ ๐๗.๓๐ น. กลับถึงเวลา ๑๖.๓๐ น. เดินทางกลับทางเรือ อัตราค่าบริการคนละ ๑,๖๐๐ บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. ๐ ๒๒๓๔ ๔๘๗๕ |