ขณะนี้คือเวลา ย่ำค่ำ/พลบค่ำ หรือ 18 นาฬิกา
ตารางเทียบเวลาไทย กี่โมง กี่ทุ่ม บ่ายกี่โมง
เวลา 01 นาฬิกา (01:00 ) : ควรพูดว่า ตี1
เวลา 02 นาฬิกา (02:00 ) : ควรพูดว่า ตี2
เวลา 03 นาฬิกา (03:00 ) : ควรพูดว่า ตี3
เวลา 04 นาฬิกา (04:00 ) : ควรพูดว่า ตี4
เวลา 05 นาฬิกา (05:00 ) : ควรพูดว่า ตี5
เวลา 06 นาฬิกา (06:00 ) : ควรพูดว่า ย่ำรุ่ง/รุ่งเช้า
เวลา 07 นาฬิกา (07:00 ) : ควรพูดว่า 1โมง
เวลา 08 นาฬิกา (08:00 ) : ควรพูดว่า 2โมง
เวลา 09 นาฬิกา (09:00 ) : ควรพูดว่า 3โมง
เวลา 10 นาฬิกา (10:00 ) : ควรพูดว่า 4โมง
เวลา 11 นาฬิกา (11:00 ) : ควรพูดว่า 5โมง
เวลา 12 นาฬิกา (12:00 ) : ควรพูดว่า เที่ยงวัน
เวลา 13 นาฬิกา (13:00 ) : ควรพูดว่า บ่ายโมง
เวลา 14 นาฬิกา (14:00 ) : ควรพูดว่า บ่าย2
เวลา 15 นาฬิกา (15:00 ) : ควรพูดว่า บ่าย3
เวลา 16 นาฬิกา (16:00 ) : ควรพูดว่า บ่าย4
เวลา 17 นาฬิกา (17:00 ) : ควรพูดว่า บ่าย5
เวลา 18 นาฬิกา (18:00 ) : ควรพูดว่า ย่ำค่ำ/พลบค่ำ
เวลา 19 นาฬิกา (19:00 ) : ควรพูดว่า 1ทุ่ม
เวลา 20 นาฬิกา (20:00 ) : ควรพูดว่า 2ทุ่ม
เวลา 21 นาฬิกา (21:00 ) : ควรพูดว่า 3ทุ่ม
เวลา 22 นาฬิกา (22:00 ) : ควรพูดว่า 4ทุ่ม
เวลา 23 นาฬิกา (23:00 ) : ควรพูดว่า 5ทุ่ม
เวลา 24 นาฬิกา (24:00 ) : ควรพูดว่า เที่ยงคืน
คำว่า "โมง" และ "ทุ่ม" มีที่มาของการบอกเวลาในสมัยโบราณตามนี้
"โมง" จะใช้สำหรับช่วงเวลาหลังพระอาทิตย์ขึ้นจนถึงก่อนเที่ยงวัน โดยพระหรือเณรจะทำหน้าที่ ไปตีฆ้อง บอกเวลาทุกชั่วโมง เช่นเวลา 8:00 จะตีฆ้อง2ครั้ง เสียงดังโม้งๆ ก็คือ 2โมง นั่นเอง
"ทุ่ม" จะใช้สำหรับช่วงเวลาหลังพระอาทิตย์ตกจนถึงก่อนเที่ยงคืน โดยจะมีการตีกลอง บอกเวลาทุกชั่วโมง เช่น เวลา 20:00 ก็จะตีกลอง 2ครั้ง เสียงดังตุ้มๆ หรือ 2ทุ่ม นั่นเอง
"ตี" ใช้สำหรับช่วงเวลาหลังเที่ยงคืนจนถึงก่อนพระอาทิตย์ขึ้นในเช้าวันถัดไป โดยจะมีการตีระฆังหรือกระบอกไม้ ให้มีเสียงดังทุกชั่วโมง เวลา 02:00 ก็จะตี2ครั้ง หรือ ตี2 นั่นเอง
"ทุ่ม" จะใช้สำหรับช่วงเวลาหลังพระอาทิตย์ตกจนถึงก่อนเที่ยงคืน โดยจะมีการตีกลอง บอกเวลาทุกชั่วโมง เช่น เวลา 20:00 ก็จะตีกลอง 2ครั้ง เสียงดังตุ้มๆ หรือ 2ทุ่ม นั่นเอง
"ตี" ใช้สำหรับช่วงเวลาหลังเที่ยงคืนจนถึงก่อนพระอาทิตย์ขึ้นในเช้าวันถัดไป โดยจะมีการตีระฆังหรือกระบอกไม้ ให้มีเสียงดังทุกชั่วโมง เวลา 02:00 ก็จะตี2ครั้ง หรือ ตี2 นั่นเอง
ในวัฒนธรรมไทยโบราณ การแบ่งช่วงเวลาในแต่ละวันมีการใช้คำเรียกเฉพาะที่แตกต่างจากการแบ่งเวลาในปัจจุบัน
คำที่ใช้เรียกช่วงเวลา 06:00 น. (6 โมงเช้า) ในภาษาไทยโบราณคือ "ย่ำรุ่ง" หรือ "รุ่งเช้า"
ย่ำรุ่ง: คำนี้ใช้เรียกเวลาช่วงเช้าตรู่ โดยเฉพาะเวลาที่พระอาทิตย์กำลังขึ้นหรือใกล้จะขึ้นรุ่งเช้า: ใช้เรียกเวลาช่วงเช้าตรู่เช่นกัน โดยเฉพาะเวลาหลังพระอาทิตย์ขึ้นไม่นาน
ทั้งสองคำนี้ใช้สื่อถึงช่วงเวลาที่เป็นตอนเช้าตรู่ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เริ่มต้นของวันใหม่
เวลา 18:00 น. (6 โมงเย็น) จะเรียกว่า "ย่ำค่ำ" หรือ "พลบค่ำ"
ย่ำค่ำ: คำนี้หมายถึงช่วงเวลาหลังพระอาทิตย์ตกดินหรือเวลาที่เริ่มค่ำแล้ว เป็นช่วงเวลาที่แสงสว่างจากดวงอาทิตย์เริ่มหมดไปและความมืดเริ่มเข้ามาแทนที่พลบค่ำ: คำนี้หมายถึงช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ตกดินและท้องฟ้าเริ่มมืด เป็นช่วงเวลาที่เปลี่ยนจากกลางวันเป็นกลางคืน
ทั้งสองคำนี้ใช้สื่อถึงช่วงเวลาที่เป็นตอนเย็นหรือค่ำ ซึ่งเป็นเวลาหลังจากที่พระอาทิตย์ตกดินแล้ว